BRENTFORD

ประวัตินักฟุตบอล

สโมสรฟุตบอล เบรนท์ฟอร์ด

สโมสรฟุตบอล เบรนท์ฟอร์ด (Brentford Football Club) เป็นทีมฟุตบอลจาก ลอนดอนตะวันตก ตั้งอยู่ในเมือง เบรนท์ฟอร์ด เกรเทอร์ลอนดอน ของประเทศอังกฤษ ปัจจุบันแข่งขันอยู่ใน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งเป็นลีกฟุตบอลระดับสูงสุดของประเทศ โดยได้เลื่อนชั้นขึ้นมาด้วยการผ่านในรอบชนะเลิศเพลย์ออฟหลังจบอีเอฟแอลแชมเปียนชิป ฤดูกาล 2020–21 และ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมานับเป็นระยะเวลา 2 ฤดูกาลเต็ม ที่พวกเขาได้โลดแล่นอยู่ในลีกชั้นนำของอังกฤษ พร้อมกับสร้างความประทับใจให้แฟน ๆ ได้ไม่น้อย และ ถือว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่สโมสรที่มีการก่อตั้งมาอย่างยาวนานรวมร้อยกว่าปี แม้จะเคยคว้าแชมป์ในลีกระดับล่าง แต่ก็ถือว่าเป็นอีกขั้นในความสำเร็จของสโมสร  

สโมสรฟุตบอล เบรนท์ฟอร์ด
สโมสรฟุตบอล เบรนท์ฟอร์ด

ประวัติสโมสร เบรนท์ฟอร์ด โดยย่อ

  • เริ่มก่อตั้งสโมสร (1889–1920)

    • สโมสรฟุตบอลเบรนท์ฟอร์ด ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1889 โดยกลุ่มเพื่อนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ “บริดจ์ฮิลล์” ในเมืองเบรนท์ฟอร์ด มิดเดิลเซ็กซ์ ซึ่งก่อนหน้าพื้นที่ตรงนั้นเป็นที่ก่อตั้งของ เบรนท์ฟอร์ด โรวิง ซึ่งเป็นกีฬาพายเรือ และ คริกเก็ต มันจึงทำให้การก่อตั้งสโมสรเป็นเรื่องยากเพราะพื้นที่มีจำกัด จนกระทั่งได้มีการเปิดสวนสาธารณะใหม่ ในวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1889 7 วันหลังจากก่อตั้งทางสโมสรจึงได้ย้ายไปที่ใหม่ และ ลงมติกันใช้ชื่อว่า ” Brentford Football Club
    • ฤดูกาล 1892–93 เบรนท์ฟอร์ด เข้าสู่ลีกเป็นครั้งแรก โดยพันธมิตรลอนดอนตะวันตก เป็นผู้ร่วมจัดตั้ง ยังคงรักษาอันดับเล่นบอลถ้วยและนัดกระชับมิตรจนถึงปี ค.ศ 1896 จนเมื่อสโมสรได้รับเลือกเข้าสู่ดิวิชั่นสองของลอนดอนลีก เพียงได้ปีเดียว The Bees ก็สามารถจบอันดับสองเพื่อเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่นหนึ่ง ได้สำเร็จ
    • เบรนท์ฟอร์ด ย้ายไปที่ กริฟฟินพาร์ค ซึ่งเป็นสนามแห่งแรก ทันเวลาสำหรับการเริ่มต้นฤดูกาล 1904–05 และ สามารถเข้ารอบ FA Cup เป็นครั้งแรก ก่อนจะพ่ายแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล ในถิ่น แอนฟิลด์ ในรอบที่ 3 แม้ฟอร์มช่วงแรกของพวกเขาในลีกจะโดดเด่น แต่ความพ่ายแพ้ 9 ครั้งใน 11 นัดสุดท้ายของ ฤดูกาล 1912–13 ทำให้ เบรนท์ฟอร์ด ต้องตกชั้นหลังจากอยู่ในดิวิชั่น 1 นานถึง 11 ฤดูกาล
    • เนื่องจากผลพวงจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 1915 ทำให้ทีมต้องยุติลงเนื่องจากทางกองทัพต้องเกณฑ์ชายหนุ่มไปร่วมรบ หลังจากสงครามโลกครั้งแรกสงบลง ทีมก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งใน 3 ปีให้หลัง เบรนท์ฟอร์ด สามารถคว้าแชมป์ลอนดอนคอมบิซิชั่น ในปี ค.ศ. 1918–19 โดยมีคะแนนนำ อาร์เซนอล 4 แต้ม  ทำให้ทีมสโมสรมีสิทธิ์ที่จะได้เข้าร่วมกับลีกดิวิชั่น 3 (เป็นลีกสูงสุดของอังกฤษ) แต่พวกเขากลับปฏิเสธกับไปในปี ค.ศ. 1919–20 และ เลือกที่จะไปสมัครเข้าร่วมกับดิวิชั่นหนึ่งของลีกใต้แทน
ประวัติสโมสร เบรนท์ฟอร์ด
ประวัติสโมสร เบรนท์ฟอร์ด
  • ปีแห่งความรุ่งโรจน์ (1920–1954)

    • ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1920 เบรนท์ฟอร์ด และ สโมสรดิวิชั่นหนึ่งจากทางใต้อีก 20 สโมสรได้รับเลือกเข้าสู่ฟุตบอลลีกดิวิชั่นสาม(ลีกหลัก)  ในฤดูกาลที่พวกเขาย้ายเข้ามาตามคำเชิญ ได้จดบันทึกสถิติใหม่โดยการเซ็นผู้เล่นมากถึง 11 คนเข้าร่วมทัพ และเกมลีกครั้งแรกของเขาได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ.1920 ที่ St James Park  บ้านของ เอ็กเซเตอร์ ซิตี้ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ไปอย่างหมดรูป 3 ประตูต่อ 0 เป็นการเปิดตัวฤดูกาลแรกที่ไม่ค่อยน่าพึงพอใจมากเท่าไหร่เมื่อพวกเขาจบที่อันดับ 21
    • ทุกอย่างเปลี่ยนไปที่ กริฟฟินพาร์ก ในช่วงของฤดูกาล 1926 โดยมี แฮร์รี่ เคอร์ติส อดีต กุนซือ จิลลิง แฮม เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีม จากฤดูกาลที่แล้วพวกเขาเหลือผู้เล่นเพียง 9 คน ที่ยังคงอยู่กับสโมสร แต่ เคอร์ติส ก็ค่อย ๆ สร้างทีมขึ้นมาใหม่อย่างช้า ๆ เขาสามารถสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้กับสโมสรได้อย่างดีเยี่ยม แต่ก็น่าเสียดายที่พวกเขาต้องตกชั้นกลับไปเล่นกับลีกทางใต้อีกครั้ง เมื่อสโมสรพลาดแพ้ให้กับ พลีมัธ อาร์ไกล์
    • ฤดูกาล 1934–35 พวกเขากลับมาโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้ง ทำให้ทัพ ผึ้งน้อย กลับสู่ดิวิชั่น 3 อีกครั้งจากการคว้าแชมป์ ก่อนจะขยับไปอีกก้าวด้วยการเข้าสู่ดิวิชั่น 2 พวกเขาสามารถรักษาสถิติได้ถึง 3 ฤดูกาลติด จนเลื่อนชั้นสู่ ดิวิชั่น 1 ได้สำเร็จ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร เบรนท์ฟอร์ด ที่สามารถคว้าแชมป์ London Challenge Cup หลังจากขึ้นจากระดับสามมาสู่ระดับแรกในช่วงเวลาเพียงสามฤดูกาล เท่านั้น
    • ในปี 1936 ทางสโมสรได้ตัดสินใจขยับขยายสนามให้มีความจุมากถึง 40,000 ที่นั่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันได้สร้างรายได้ให้กับพวกเขาไม่น้อย ในการขายตั๋วเข้าชมในแต่ละนัด แต่หลังจากเริ่มต้นฤดูกาล 1936-37 ดูเหมือนว่าทีมพวกเขาจะมีโอกาสตกชั้นสูง แต่ก็สามารถกับพลิกสถานการณ์ ได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยการแพ้แค่ 2 นัด จาก 23 เกมสุดท้าย จึงทำให้พวกเขาขยับขึ้นมาจบในอันดับที่ 5 ของตาราง
    • หลังเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ได้เพียง 3 นัด ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง (1938–39) ทำให้การแข่งขันฟุตบอลต้องหยุดชะงัก ทำให้ทางสโมสรต้องเปลี่ยนไปเล่นกับลีกทางใต้แทน ด้วยเหตุที่ทางกองทัพต้องเกณฑ์ชายหนุ่มจำนวนมากเข้าร่วมทัพ มันจึงทำให้พวกเขาขาดแคลนนักเตะ จึงได้ตัดสินใจ นำนักเตะสมัครเล่นเข้ามาเล่นแทน แน่นอนว่าเมื่อไม่เป็นมืออาชีพพวกเขาต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง
    • หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 (1946–47) ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้นักเตะตัวสำคัญกลับเข้ามาร่วมทีมครบ แต่ด้วยความยืดเยื้อของสงคราม จึงทำให้พวกเขามีอายุที่มากขึ้น มันจึงส่งผลให้ทีมพวกเขาตกจากดิวิชั่น 1 สู่ดิวิชั่น 2 แม้พวกเขาจะสู้อย่างหนักของการแข่งขันในฤดูกาลนั้นแต่ก็ไม่สามารถรักษาอันดับจนทำให้ตกไปอยู่ดิวิชั่น 3 ในท้ายที่สุด
ปีแห่งความรุ่งโรจน์
ปีแห่งความรุ่งโรจน์
  • เผชิญปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนัก (1954–1986)

    • การตกชั้นไปดิวิชั่นสามเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล ค.ศ. 1953–54 หมายความว่า ฤดูกาล 1954–55 จะเป็นครั้งแรกของทีม ผึ้งน้อย ที่ลงไปสู่ลีกระดับล่างสุด ในรอบ 21 ปี มันจึงทำให้เกิดภาวะการเงินติดขัดอย่างหนัก เมื่อพวกเขาต้องเป็นหนี้มากถึง 50,000 ปอนด์ (เทียบเท่ากับ 1,184,100 ปอนด์ในปี 2023) แม้จะตัดสินใจขายผู้เล่นหลักหลายคน แต่ก็ไม่สามารถที่จะผ่อนปรน หรือ ลดหนี้สินได้มากสักเท่าไร และ นักเตะที่มีก็ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เคยเป็น จึงทำให้พวกเขาอยู่ระหว่างลีก ดิวิชั่น 3 และ 4 ขึ้นลงอยู่อย่างนี้บ่อยครั้ง
    • ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1966 ประธาน Dunnett เปิดเผยในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ของ Brentford ว่าสโมสรสูญเสียเงิน 20,000 ปอนด์ในช่วงปีที่แล้ว และ เขาจะขายหุ้นในสโมสรทั้งหมดก่อนที่จะได้รับความสนใจจากสโมสร คิวพีอาร์ ที่มีความต้องการอยากจะใช้สนาม กริฟฟินพาร์ค ดิล จึงได้มีการเจรจาซื้อขายกันเกิดขึ้นถึงได้เกิดการเจรจาขึ้น
    • ความไม่พอใจของแฟนบอล ได้เกิดการประท้วงอย่างหนักเพื่อไม่ให้สโมสรที่เขารักต้องขายทีมไป  พวกเขายอมระดมเงินตัวเอง 8,500 ปอนด์ (เทียบเท่ากับ 164,100 ปอนด์ในปี 2023) แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะลบล้างหนี้ได้ ทางสโมสร คิวพีอาร์ จึงยื่นข้อเสนอใหม่มูลค่าเงิน 250,000 ปอนด์สำหรับการเทกโอเวอร์ ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมที่จะล้างหนี้ 135,000 ปอนด์ของ เบรนท์ฟอร์ด ทันที หากพวกเขายอมขายให้ แล้วยังมีเหลือเงินมากพอที่สร้างทีมใหม่ขึ้นมา เหมือนข้อตกลงนี้จะดึงดูดใจ ผึ้งน้อย อย่างมาก จึงได้มีการคิดชื่อสโมสรใหม่ไว้ล่วงหน้าโดยมีชื่อว่า “เบรนท์ฟอร์ด โบโรห์ เอฟซี” ที่จะนำไปใช้กับสโมสรใหม่ซึ่งตั้งอยู่ใน ฮิลลิงดัน แต่แต่สุดท้าย เบรนท์ฟอร์ด ได้รับการช่วยเหลืออีกครั้ง โดยอดีตผู้อำนวยการ วอลเตอร์ วีทลีย์ ให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ยแก่สโมสรจำนวน 69,000 ปอนด์ ซึ่งจะต้องชำระคืนใน 12 เดือน จึงทำให้พวกเขารอดพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้
สโมสรฟุตบอล เบรนท์ฟอร์ด เอฟซี
สโมสรฟุตบอล เบรนท์ฟอร์ด เอฟซี
  • ฤดูกาล 1986–2014

    • ในฤดูกาล 1991–92 ด้วยชัยชนะ 6 เกมสุดท้าย ทำให้ เบรนท์ฟอร์ด ฟื้นตัวแล้วกลับมาคว้าแชมป์ดิวิชั่น 3 ได้อีกครั้ง ก่อนที่พวกเขาจะมาพลาดโอกาสการเลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชั้น 2 อย่าน่าเสียดายด้วยการพ่ายแพ้ในรอบเพลย์ออฟของนัดชิงชนะเลิศที่พ่ายแพ้ให้กับ ครูว์อเล็กซานดรา ในฤดูกาล 1997-98 พร้อมกับพวกเขาถูกส่งลงกลับไปทำการแข่งขันในลีกดิวิชั่น 3 อีกครั้งในวันสุดท้ายของการแข่งขันนั้นอีกด้วย
    • ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1998 รอน โนอาเดส อดีตประธาน คริสตัล พาเลซ ได้เข้าเป็นเจ้าของสโมสรเบรนท์ฟอร์ด และ ทำการเปลี่ยนแปลงสโมสรใหม่ทั้งหมด พร้อมกับแต่งตั้งตัวเองเป็นประธานสโมสร และ ควบตำแหน่งผู้จัดการทีมของ The Bees ก่อนจะมาถึงฤดูกาล 2001–02 ผึ้งน้อย ก็ได้พลาดโอกาสการเลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติเมื่อ เรดดิ้ง คว้าชัยในนัดสุดท้าย แต่พวกเขาทำได้เพียงแค่ผลเสมอ จึงทำให้ต้อง เบรนท์ฟอร์ด ต้องไปสู้กับ สโต๊คซิตี้  ในรอบเพลย์ออฟ แต่ก็พ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 2-0
    • ภายใต้การคุมทีมของ แอนดี้ สก็อตต์ พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกทู ฤดูกาล2009–10 มาครองได้สำเร็จ จึงทำให้ฤดูกาลถัดมา ผึ้งน้อย มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในรายการ ลีกคัพ ก่อนที่สโมสรจะจบแค่เพียงรอบ 4 แต่พวกเขาก็ยังสามารถเข้าถึงรอบชิงถ้วยรางวัลฟุตบอลลีก 2011 แต่ก็น่าเสียดายที่ได้แค่รองแชมป์ เนื่องจากพวกเขาต้องพ่ายแพ้ให้กับ คาร์ไลล์ ยูไนเต็ด 1 ประตูต่อ 0 ในรอบชิงชนะเลิศ
    • ในฤดูกาล  2012–13 พลาดเลื่อนชั้นสู่แชมเปี้ยนชิพ อย่างน่าเสียดาย เมื่อพวกเขา แพ้ เยโอวิล ทาวน์ ในรอบเพลย์ออฟ แต่ในฤดูกาลถัดมา 2014 พวกเขาก็ทำมันได้สำเร็จ ได้เลื่อนชั้นสู่ Championship โดยอัตโนมัติ ภายใต้การนำทัพของ มาร์ค วอร์เบอร์ตัน
เบรนท์ฟอร์ดขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก
เบรนท์ฟอร์ดขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก
  • 2014–ปัจจุบัน : ขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก

    • ภายใต้การนำทัพของ ดีนสมิธ สามารถสร้างรากฐานโดยการคว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 มาครองได้สำเร็จก่อนจะส่งไม้ต่อให้กับ โทมัสแฟรงค์ พา เบรนท์ฟอร์ด เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเพลย์ออฟแชมเปี้ยนชิพปี 2020 แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับ ฟูแล่ม คู่แข่ง เวสต์ลอนดอน 2–1 จากนั้นในช่วงฤดูกาลปี 2020
    • สโมสรได้ย้ายออกจาก Griffin Park (สนามเหย้าที่อยู่มาอย่างนานถึง 116 ปี) และ ย้ายไปใช้สนาม Brentford Community Stadium แทนซึ่งสามารถจุแฟนบอลได้ถึง 17,250 ที่นั่ง
    • ฤดูกาล 2020–21 Brentford จบอันดับ 3 อีกครั้งในศึก Championship ได้สิทธิ์เข้าไปลุ้นรอบเพลย์ออฟ แล้วพวกเขาก็สามารถทำได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะคู่แข่งอย่าง สวอนซี ซิตี้ 2 ประตูต่อ 1 จากนั้น เบรนท์ฟอร์ด ก็ได้เลื่อนชั้นสู่ พรีเมียร์ลีก และ โลดแล่นอยู่ในลีกสูงสุดของอังกฤษมาแล้ว 2 ฤดูกาลด้วยการจบอันดับ 13 ในฤดูกาลแรก ก่อนฤดูกาลที่ 2 พวกเขาจะสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม และ ขยับขึ้นมาจบในอันดับที่ 9 ในฤดูกาลที่ผ่านมา (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่ : Wikipedia)
เบรนท์ฟอร์ดคว้าแชมป์

เกียรติประวัติของสโมสร เบรนท์ฟอร์ด

  • ดิวิชั่น 1 / พรีเมียร์ลีก (เทียร์ 1) อันดับที่ 5 : 1935–36
  • เวสเทิร์น ลีก อันดับที่ 2 : 1904–05
  • เซาเทิร์น ลีก ดิวิชั่น อันดับที่ 9 : 1905–06
  • เอฟเอ คัพ รอบที่หก/รอบก่อนรองชนะเลิศ: 1937–38 , 1945–46 , 1948–49 , 1988–89
  • ฟุตบอลลีกคัพ รอบรองชนะเลิศ: 2020–21
  • ถ้วยรางวัลฟุตบอลลีก รองชนะเลิศ: 1984–85 , 2000–01 , 2010–11
  • ถ้วยรางวัลนิทรรศการเอ็มไพร์ รอบแรก: พ.ศ. 2481
  • เซาท์เทิร์น โปรเฟสชั่นแนล ฟลัดไลท์ คัพ อบรองชนะเลิศ: 1955–56 , 1956–57
  • เฟิร์ส อัลไลแอนซ์ คัพ รอบแรก: 1988
เบรนท์ฟอร์ด-ปัจจุบัน
เบรนท์ฟอร์ด-ปัจจุบัน

ผลงานสโมสร เบรนท์ฟอร์ด

  • ดิวิชั่น 2 / แชมเปี้ยนชิพ (ระดับ 2) แชมป์: 1934–35 : ผู้ชนะเพลย์ออฟ: 2021
  • ดิวิชั่นสามใต้ / ดิวิชั่นสาม / ลีกวัน (ระดับ 3) แชมป์: 1932–33 ( ใต้ ), 1991–92 : เลื่อนชั้น: 2013–14
  • ดิวิชั่น 4 / ลีกทู (ระดับ 4) แชมป์: 1962–63 , 1998–99 , 2008–09 : เลื่อนชั้น: 1971–72 , 1977–78
  • เซาเทิร์น ลีก ดิวิชั่น 2 แชมป์: 1900–01
  • ถ้วยรางวัลฟุตบอลลีก รองชนะเลิศ: 1984–85 , 2000–01 , 2010–11