อดัม ลัลลาน่า (Adam Lallana)

อดัม ลัลลาน่า (Adam Lallana) มีชื่อเต็มๆว่า อดัม เดวิด ลัลลาน่า (Adam David Lallana) เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 1998 อายุ 26 ปี เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุก ให้กับสโมสร ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟอัลเบียน ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สวมเสื้อหมายเลข 14 ในสโมสร และยังเคยเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษในช่วงก่อนปี 2018

เส้นทางการเริ่มต้นเล่นฟุตบอลของ ลัลลาน่า

ลัลลาน่า เกิดที่เมืองเซนต์อัลบันส์ หลังจากนั้นเขาได้ย้ายเข้าสู่เมืองบอร์นมัธ เมื่อตอนเด็กเขาได้ฝึกฟุตบอลกับ โรงเรียนคอร์ปัสคริสตี และหลังจากนั้นก็ได้เข้าสู่โรงเรียน คาทอลิกเซนต์ปีเตอร์ เขาได้มีความโดดเด่นมากในเรื่องการเล่นฟุตบอล และได้เข้าสู่อคาเดมี่ของ เอเอฟซี บอร์นมัธ เป็นสโมสรแรก หลังจากนั้นในปี 2000 ก็ได้กล่าวเข้าสู่อคาเดมี่ของ เซาแธมป์ตัน และกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการเล่นฟุตบอลเยาวชนและอาชีพของเขากับสโมสรแห่งนี้

ลัลลาน่ากับสโมสรเซาแธมป์ตัน

ลัลลาน่าได้เซ็นสโมสรอาชีพอย่างเป็นทางการกับ เซาท์แธมป์ตัน ในปี 2006 แต่ในช่วงแรกเขาได้แข่งในรุ่นเยาวชนกับทีม ก่อนที่จะได้เข้าร่วมในทีมชุดใหญ่ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2006 และเปิดตัวกับสโมสรพร้อมกับการเจ็บชัยชนะ เป็นการเริ่มต้นที่ดีของเขากับสโมสรอาชีพ แต่ในฤดูกาลต่อมาถูกปล่อยไปเก็บประสบการณ์กับสโมสร ที่เขาเคยอยู่ในวัยเด็ก ก็คือ เอเอฟซี บอร์นมัธ แต่เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆกับสโมสร บอร์นมัธ ได้ลงสนามไปเพียง 3 เกมเท่านั้น หลังจากนั้นในฤดูกาลต่อมาก็ได้ครับเข้าสู่สโมสรต้นสังกัด

หลังจากที่ลัลลาน่า ได้ครับมาสู่สโมสรเซาแธมป์ตันเขาก็ได้รับโอกาสในการลงสนามอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นกำลังสำคัญของทีมทันที เขาได้อยู่กับสโมสรจนถึงฤดูกาล 2014 ในการลงสนามไปมากถึง 235 เกมทำไปอีก 48 ประตู เป็นกองกลางที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากในช่วงนั้นด้วยฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงของเขา จนทำให้ชั้นนำในพรีเมียร์ลีกเจรจาดึงตัวไปร่วมทัพหลายทีม และเขาได้เลือกสโมสรลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นสโมสรที่เขาใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก

ลัลลาน่ากับสโมสรลิเวอร์พูล

ลัลลาน่าได้เข้าสู่สโมสร ลิเวอร์พูล อยากเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2014 ซึ่งเขาได้ใช้โอกาสไม่นานในการปรับตัวเข้ากับสโมสรและได้ขึ้นเป็นตัวหลักของทีม และเป็นช่วงที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากกับทีมในช่วงระยะเวลาที่เขาได้อยู่กับลิเวอร์พูล ไม่ว่าจะเป็นการกวาดแชมป์ทั้งในอังกฤษและในถ้วยยุโรป รวมถึงการคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์ สโมสรโลก แบบเส้นทางของเขาก็ได้ยุติลงกับลิเวอร์พูลในปี 2020 หลังจากที่เขาหมดสัญญาและไม่ได้ไปต่อกับลิเวอร์พูล และได้ลงสนามให้ลิเวอร์พูลไปทั้งหมด 128 เกมทำไปได้ 18 ประตูก่อนที่จะย้ายเข้าสู่สโมสรร่วมลีก

ลัลลาน่ากับสโมสรไบรท์ตัน

ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟอัลเบียน ได้ประกาศเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการกับ ลัลลาน่า เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2020 ด้วยสัญญา 3 ปีแบบไม่มีค่าตัว พร้อมกับการได้เป็นตัวหลักของทีมทันทีในฤดูกาลที่ย้ายไป และได้รับโอกาสในการลงสนามอย่างต่อเนื่องเลย 2 ฤดูกาลแรกกับสโมสร ต่อมาในฤดูกาล 2022-23 เขาได้รับโอกาสน้อยลงในการลงสนามให้กับสโมสร เพียงแค่ 16 เกมเท่านั้น และในฤดูกาลล่าสุด 2023-24 กับการแข่งขัน 8 เกมที่ผ่านมาของพรีเมียร์ลีกเขาได้รับโอกาสในการลงสนามไปเพียง 4 เกมเท่านั้น แต่เขาก็ยังเป็นตัวเลือกต้นๆของผู้จัดการทีมไบรท์ตันอยู่เสมอ

ลัลลาน่ากับทีมชาติอังกฤษ

ลัลลาน่ามีชื่อติด ทีมชาติอังกฤษ ในปี 2006 กับเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ซึ่งเป็นปีเดียวกันที่เขาได้เสียสัญญาหลีกอาชีพครั้งแรกกับสโมสรเซาแธมป์ตัน ต่อมาเขาได้ขึ้นมาเล่น ในรุ่น U19 และ u 21 ก่อนที่ปี 2013 จะได้ก้าวขึ้นมาเล่นทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ครั้งแรก ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกปี 2014 และเขาได้รับใช้ทีมชาติจนถึงปี 2018 กับการลงสนามไป 34 เกม และหลังจากนั้นก็ไม่มีชื่อติดทีมชาติอีกเลย

เกียรติประวัติ ลัลลาน่า

สโมสรเซาแธมป์ตัน

ฟุตบอลลีกแชมเปี้ยนชิพ รองชนะเลิศ : 2011–12
ฟุตบอลลีกวัน รองชนะเลิศ : 2010–11
ฟุตบอลลีกโทรฟี : 2009–10

สโมสรลิเวอร์พูล

พรีเมียร์ลีก : 2019–20
ฟุตบอลลีกคัพ รองชนะเลิศ : 2015–16
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2018–19 รองชนะเลิศ : 2017–18
รองแชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก : 2015–16
ยูฟ่าซูเปอร์คัพ : 2019
ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ : 2019

รางวัลรายบุคคล

ทีมพีเอฟเอแห่งปี : ลีกวัน 2010–11, แชมป์เปี้ยนชิพ 2011–12, พรีเมียร์ลีก 2013–14
ทีมฟุตบอลลีกแห่งทศวรรษ
นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของทีมชาติอังกฤษ : 2016

อดัม ลัลลาน่า เป็นกองกลางชาวอังกฤษที่ได้รับยกย่องและได้รับความยอมรับจากเหล่าบรรดาแฟนฟุตบอลชาวอังกฤษว่าเป็นกองกลางที่ดีที่สุดอีกหนึ่งคน พร้อมกับการประสบความสำเร็จอย่างมากมายสโมสรที่ผ่านมา ปัจจุบันกับสโมสรไบรท์ตัน ก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของทีมที่พาทีมจบในฤดูกาลที่ผ่านมาในอันดับต้นๆของตาราง สำหรับฤดูกาลปัจจุบันก็ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของทีมอยู่เสมอ

อ้างอิง : Wikipedia