ประวัตินักฟุตบอล
สโมสรฟุตบอล เบิร์นลี่ย์
สโมสรฟุตบอล เบิร์นลี่ย์ (Burnley Football Club) ตั้งอยู่ในเมือง เบิร์นลีย์ แลงคาเชียร์ ซึ่งมีทีมที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกันก็จะมี ลิเวอร์พูล, เอฟเวอร์ตัน, แมนฯยูไนเต็ด, แมนฯซิตี้ และ ลีดส์ ยูไนเต็ด และ พวกเขาพึ่งได้เลื่อนชั้นมาเล่นในลีกสูงสุดอังกฤษในฤดูกาล 2023/24 แบบสดๆร้อนๆหลังโชว์ผลงานใน championship ฤดูกาลที่แล้วได้อย่างโดดเด่น ซึ่งจบอันดับด้วยการคว้าแชมป์ และ มีสนามรังเหย้าคือ เทิร์ฟมัวร์ ซึ่งเป็นสนามที่ใช้ในปัจจุบัน โดยเป็นทีมที่เคยสร้างหน้าประวัติศาสตร์อย่างการไม่แพ้ใครในลีกถึง 30 นัดติดต่อกัน ในช่วงปี ค.ศ 1920–21 จากนั้นอีก 38 ปีต่อมา เดอะคลาเรตส์ ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกแรกให้กับสโมสรได้ในปี 1959–60 บันทึกสถิติอีกครั้งด้วยการเป็นทีมขนาดเล็ก (มีประชากรเพียง 80,000 คน) ที่สามารถชูถ้วยแชมป์ได้สำเร็จ
ประวัติสโมสร เบิร์นลี่ย์ โดยย่อ
เริ่มก่อตั้งสโมสร (1882–1946)
- สโมสรก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1882 โดยสมาชิกของอดีต ทีมรักบี้ เบิร์นลีย์ โรเวอร์ส โดยพวกเขาได้มีการตกลงกัน ให้เปลี่ยนจากกีฬารักบี้มาเป็นกีฬาฟุตบอลแทน เพราะมีหลายสโมสรที่อยู่ใกล้เคียงหลายแห่งได้เปลี่ยนมาเป็นกีฬาฟุตบอลกันเกือบหมดแล้ว มันจึงทำให้คำว่า “โรเวอร์ส” ที่เป็นคำต่อท้ายมาตั้งแต่แรกถูกตัดออกไป แล้วใช้เพียงคำว่า เบิร์นลี่ย์ มาจนถึงปัจจุบัน ไม่กี่วันต่อมาพวกเขาได้เข้าร่วมกับรายการ ดร. ดีนส์คัพ ซึ่งเป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออกระหว่างสโมสรสมัครเล่นในพื้นที่ และ สามารถคว้าแชมป์แรกในพื้นที่มาครองได้สำเร็จ
- สโมสรมีความเป็นมืออาชีพหลังจากคว้าแชมป์จึงถูกรับเชิญจากทาง สมาคมฟุตบอล (FA) และ เอฟเอคัพ แต่พวกเขากลับเลือกที่จะปฏิเสธ จนปีต่อมา (1884) สโมสร เบิร์นลี่ย์ รวมกับอีก 35 สโมสร ก่อตั้งสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (BFA) ได้แสดงเจตจำนงแยกตัวออกมา และ ประกาศเป็นคู่แข่ง ของ เอฟเอ อย่างชัดเจน ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1886 จึงทำให้สนามหญ้ามัวร์ ของ เบิร์นลีย์ กลายเป็นสนามระดับอาชีพแห่งแรกที่สมาชิก ราชวงศ์มาเยี่ยมชม โดย เจ้าชาย อัลเบิร์ต วิกเตอร์ เข้าร่วมดูการแข่งขันนัดกระชับมิตรระหว่าง เบิร์นลีย์ และ โบลตัน วันเดอเรอร์ส
- ปี 1888–89 เข้าสู่ยุคก่อตั้งฟุตบอลลีก (EFL Championship) มี 12 ทีมที่ร่วมเป็นผู้ก่อตั้ง หนึ่งในนั้นคือสโมสรฟุตบอล เบิร์นลี่ย์ นับได้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงเริ่มต้นในฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มรูปแบบ โดย วิลเลียม เทต กลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำแฮตทริก ในลีก เมื่อสามประตูของเขาทำให้ เบิร์นลีย์ ได้รับชัยชนะครั้งแรกในการแข่งขัน ค.ศ. 1889–90 จึงส่งผลให้พวกเขาได้เข้าไปชิงกับ แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส และ กลายเป็นผู้ชนะ ก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นทีมแรกที่ได้ชูถ้วยแชมป์ ฤดูกาล 1896–97 จากนั้นเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อฟอร์มของพวกเขาย่ำแย่จนทำให้ตกชั้นไปอยู่ดิวิชั่น 2 ในท้ายที่สุด แต่ก็สามารถกลับมาสู่ลีกหลักได้อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา
- ในปี ค.ศ.1909 ทางสโมสรต้องเจอกับปัญหาทางด้านการเงิน ซึ่งในขณะนั้น แฮร์รี วินเดิล ได้รับเลือกให้เป็นประธาน แม้จะอยู่ในช่วงของการเงินพลิกผันอย่างหนัก แต่พวกเขาก็สู้และทำการแต่งตั้ง จอห์น ฮาเวิร์ธ เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่คุมทีมในปีต่อมา ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำการเปลี่ยนสีของสโมสรจากสีเขียวเป็นสีม่วงแดง โดยพวกเขาชื่อว่าสีนี้จะนำซึ่งความโชคดีมาให้พวกเขา ในช่วง 10 ปีแรกพวกเขามุ่งมั่นพยายามจนอันดับดีขึ้นเรื่อยๆทำให้ปี ค.ศ 1912-13 ได้รับเลื่อนชั้นขึ้นไปสู่ลีกหลักได้สำเร็จ ในปีถัดมาพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ ชนะเลิศเอฟเอคัพปี 1914 โดยการเอาชนะ ลิเวอร์พูล และ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาคว้าแชมป์เมเจอร์ลีกมาครองเป็นถ้วยแรกได้สำเร็จ และ กลายเป็นทีมแรกที่สามารถเอาเอาชนะระดับ Top 5 ของลีกใหญ่ได้ และในส่วนของ ทอมมี่ บอยล์ ก็กลายเป็นกัปตันคนแรกที่ได้รับถ้วยรางวัลจากกษัตริย์จอร์จที่ 5
ยุคทองของเบิร์นลี่ย์ ( 1946–1976)
- ในฤดูกาลแรกของฟุตบอลลีก หลังสงคราม เบิร์นลีย์ ได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกหลักอีกครั้ง และสามารถเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพปี 1947 แต่พ่ายแพ้ให้กับ ชาร์ลตัน แอธเลติก หลังช่วงต่อเวลาพิเศษก่อนที่พวกเขาได้รับฉายาทีม “ม่านเหล็ก” ด้วยการป้องกันที่แข็งแกร่งเนื่องจากฤดูกาลนั้น เสียไปเพียง 29 ประตูจาก 42 นัดในลีก
- อลัน บราวน์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการในปี ค.ศ. 1954 แล้วได้มีการเปลี่ยนประธานอีกครั้งในปีถัดมาโดยผู้ที่ได้รับเลือกคือ บ็อบ ลอร์ด การมาของเขาในครั้งนี้ทำให้การเปลี่ยนแปลงของสโมสรเป็นไปในทางที่ดีและมีความก้าวหน้ามากขึ้น และด้วยการมาบริหารของเขาทำให้มีงบเพียงพอในการสร้างสนามฝึกซ้อม และกลายเป็นทีมอันดับแรกๆที่มีสนามฝึกซ้อมเป็นของตัวเอง
- ในปี 1958 เป็นครั้งแรกที่อดีตผู้เล่นของ เบิร์นลี่ย์ ได้กลับมารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีม เขามักเลือกใช้ รูปแบบการเล่น 4–4–2 ซึ่งมันเป็นแผนที่ล้าหลังมากในยุคนั้น และใช้สไตล์การเล่นแบบโททัลฟุตบอล ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการโยกย้ายตำแหน่งผู้เล่นภายในสนามไม่ว่าจะเป็นแดนใดก็ตามสามารถสับเปลี่ยนกันได้ทุกเวลา แม้จะเป็นอะไรที่ล้าหลังแต่พวกเขากลับสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้ในแผนการเล่นนี้
- เบิร์นลีย์ คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 เป็นสมัยที่สองใน ค.ศ. 1959–60 แม้ทีมของพวกเขาจะกลับมามีชื่อเสียงและสามารถคว้าแชมป์ได้แต่มูลค่านักเตะกลับไม่สูงขึ้นตาม ทำให้การขายแข้งดังของทีมทั้ง 2 คน มีราคาเพียง 13,000 ปอนด์ (เทียบเท่ากับ 320,000 ปอนด์ในปี 2023) ด้วย แมคอิลรอย ถูกขายในปี 1950 (8,000 ปอนด์)ซึ่งเป็นการขายครั้งแรกก่อนจะคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ครั้งที่ 2 และ อเล็กซ์ เอลเดอร์ แบ็คซ้าย ในปี 1959 (5,000 ปอนด์) ถูกขายคนเป็นที่ 2 หลังจากคว้าแชมป์
- แม้เมืองของเขาจะเป็นเมืองที่เล็ก แต่ด้วยความแข็งแกร่ง และ ความเก่งกาจ จึงทำให้พวกเขาเป็นตัวแทนของเกาะอังกฤษในการไปแข่งในรายการ International Soccer League ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอล อเมริกัน ในระดับนานาชาติสมัยใหม่ครั้งแรก
- จากนั้นในฤดูกาลถัดมา เบิร์นลีย์ ลงเล่นในการแข่งขันระดับยุโรปเป็นครั้งแรกในถ้วยยุโรปปี 1960–61 พวกเขาเอาชนะ Stade de Reims ในรอบแรก ซึ่งเคยเป็นอดีตทีมที่เคยเข้าไปสู่รอบสุดท้ายมาก่อน แต่พวกก็สามารถเอาชนะได้ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาต้องตกรอบด้วยการพ่ายแพ้ให้กับ แฮมเบอร์เกอร์ เอสวี ในรอบก่อนรองชนะเลิศ
เบิร์นลี่ย์เกือบล่มสลาย (1976–2009)
- ทีมตกชั้นไปดิวิชั่นสามเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1979–80 ภายใต้การบริหารของอดีตผู้เล่น เบิร์นลีย์ อย่าง ไบรอัน มิลเลอร์ สโมสรต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องฝ่าฟันอย่างหนักเพื่อกลับขึ้นมาสู่อีกหลักอีกครั้ง แต่แล้วด้วยความพยายามฤดูการถัดมา 1980–81 ก็สามารถเลื่อนชั้นมาสู่ดิวิชั่น 2 ได้สำเร็จ และ ยังขึ้นมาโดยการเป็นแชมป์ หลังจากทีมได้เลื่อนชั้นขึ้นมาทางบอร์ดบริหารก็ได้เปลี่ยนผู้จัดการทีมทันทีโดยให้ แฟรงก์ แคสเปอร์ เข้ามารับช่วงต่อ การมาของเขาทำได้เพียงให้ทีมอยู่กลางตารางเท่านั้น แถมสโมสรยังเป็นหนี้อีกมากมายจนต้องจำใจขายนักเตะดาวรุ่งอย่าง ลี ดิกสัน , ไบรอัน ลอว์ส และ เทรเวอร์ สตีเวน เบ็น สัน จึงส่งผลให้ทีมย่ำแย่จนตกไปอยู่ดิวิชั่น 4 เป็นครั้งแรก ถึงขั้นว่าสโมสรเกือบตกไปอยู่ลีกระดับล่างสุดเลยทีเดียว แต่พวกเขาก็ยังสามารถหลีกเลี่ยงการตกชั้นได้อย่างเฉียดฉิวโดยการเอาชนะ Orient ไปยังหวุดหวิด
- จากนั้นโอกาสที่จะขึ้นไปอยู่ดิวิชั่น 3 อีกครั้งก็มาถึง เมื่อพวกเขาต้องเข้าไปชิงกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ในรอบชิงชนะเลิศ ของ แอสโซซิเอทเมมเบอร์สคัพ แต่ก็แพ้ 2–0 ในครั้งนั้นมีผู้เข้าร่วมชมมาถึง 80,000 คน ซึ่งเป็นสถิติของการแข่งขันระหว่างทั้งสองฝ่ายจากลีกระดับที่สี่
- ในปี ค.ศ 1991-92 เบิร์นลีย์ ก็สามารถคว้าแชมป์ดิวิชั่น 4 ได้สำเร็จ ภายใต้การทำทีมของ จิมมี่ มูลเลน ที่เข้ามารับตำแหน่งแทน แคสเปอร์ ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1991 พร้อมกับเป็นบุคคลสำคัญในการพาทีมคว้าชัยชนะ 9 นัดติดในการเปิดฤดูกาล และ เบิร์นลีย์ ยังกลายเป็นสโมสรที่สองที่คว้าแชมป์ ดิวิชั่นอาชีพทั้ง 4 ดิวิชั่นของฟุตบอล อังกฤษ ต่อจาก วูล์ฟแฮมป์ตัน
- ในช่วงต้นปี ค.ศ. 2002 สโมสรกลับมาเผชิญกับปัญหาทางการเงินอย่างหนักอีกครั้ง เนื่องจากการล่มสลายของ ITV Digital จึงทำให้ทางสโมสรเกือบถูกปิดตัวลง แต่ด้วยเหตุนี้ทำให้ทางฝ่ายบริหารไม่มีเงินเพียงพอที่จะซื้อตัวนักเตะแบบถาวร ซึ่งพวกเขาทำได้เพียงแค่ยืมตัวนักเตะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับสโมสรในช่วงเวลาสั้นๆ แต่พวกเขากลับโชว์ผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนก้าวกระโดดขึ้นไปสู่ดิวิชั่นต่างๆตามลำดับ ในฤดูกาล 2008–09 ก่อนที่ โอเว่น คอยล์ จะคุมทีมจบฤดูกาลด้วยการพาสโมสรเลื่อนชั้นสู่ พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จหลังจากเอาชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้กลับไปสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งหลังจากผ่านไป 33 ปี
โลดเล่นในพรีเมียร์ลีก (2009–ปัจจุบัน)
- การเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดของประเทศทำให้สโมสร เบิร์นลี่ย์ กลายเป็นเมืองขนาดเล็กที่มีรายการแข่งขันศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในการต้อนรับทีมจากสโมสรอื่นๆ พร้อมกับกลายเป็นทีมน้องใหม่ทีมแรกที่ได้มาจากการเลื่อนชั้นด้วยการแข่งขันที่ชนะสี่เกมเหย้าในบ้านของตัวเอง และภายหลังที่ได้เลื่อนชั้น โอเว่น คอยล์ ก็ ตัดสินใจลาออกจากสโมสรในเดือนมกราคม ค.ศ. 2010 และ ถูกแทนที่โดยอดีตผู้เล่น เบิร์นลีย์ อย่าง ไบรอัน ลอว์ส ภายหลังจากเข้ามาของโค้ชคนใหม่ฟอร์มของพวกเขาก็ตกต่ำลงอย่างน่าใจหายจนทำให้ต้องตกชั้นในที่สุดหลังจากผ่านไปแค่เพียงฤดูกาลเดียวเท่านั้นเอง
- ต่อมาทางบอร์ดบริหารได้ทำการแต่งตั้ง Sean Dyche เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ของสโมสรในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 และ ในการคุมทีมฤดูกาลแรกของ Dyche ก็สามารถพาสโมสร เบิร์นลีย์ กลับขึ้นสู่ พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จอีกครั้งในปี ค.ศ. 2015-16 ในฐานะทีมคว้าแชมป์เปี้ยนชิพ และ มีคะแนนในตารางมากถึง 93 แต้ม
- ในเดือนธันวาคม ปี 2020 บริษัทการลงทุนสัญชาติอเมริกัน ALK Capital ได้เข้าซื้อหุ้น 84% ใน Burnley ด้วยมูลค่า 170 ล้านปอนด์ และ นับเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายบริหารไม่ใช่คนท้องถิ่น ก่อนที่ในปี 2021–22 เบิร์นลีย์ ก็ตกชั้นกลับไปสู่แชมเปี้ยนชิพอีกครั้งหลังนัดสุดท้ายพ่ายแพ้ไปอย่างน่าเสียดายทำให้พวกเขาอยู่อันดับที่ 18 ของตาราง
- จากนั้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2022 แวงซองต์ กอมปานี ชาวเบลเยียม ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ เบิร์นลีย์ นั่นจึงหมายความว่าเขาจะเป็นบุคคลแรกที่ไม่ใช่ชาว อังกฤษ ที่เข้ามาบริหารสโมสรในฐานะผู้จัดการทีมคนต่อไป ก่อนที่เขาจะมีการเซ็นสัญญานักเตะใหม่เข้าร่วมทีมถึง 16 ราย พร้อมกับสร้างสไตล์การเล่นแบบใหม่ที่เน้นการครอบครองบอล และ การเล่นเกมรุกเป็นหลัก จึงทำให้พวกเขามีความแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่อดีตกองหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รายนี้เข้ามาคุมทีม (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่:Wikipedia)
สนามฟุตบอลเหย้า เบิร์นลี่ย์ (เทิร์ฟมัวร์)
- ซึ่งเดิมสโมสร เบิร์นลี่ย์ เคยใช้สนามร่วมกับสโมสร คริกเก็ต แต่ก็ได้แยกตัวออกมาในภายหลัง และ ตกลงที่จะจ่ายเงิน 77 ปอนด์ต่อปี (เทียบเท่ากับ 9,000 ปอนด์) ณ ปี 2021 เพื่อเช่าสนามกีฬา แต่เพียงผู้เดียว และ เนื่องจากแรงกดดันที่ทางสนามต้องการเพิ่มค่าเช่าขึ้นมากกว่าเดิม ทางสโมสรจึงได้ตัดสินใจย้ายออกจากพื้นที่นี้ แล้วย้ายไปสร้าง เทิร์ฟมัวร์ เป็นของตัวเองแทน
- สนามฟุตบอล เทิร์ฟมัวร์ ตั้งอยู่ที่เมือง เบิร์นลี่ย์ แลงคาเชียร์ ของประเทศ อังกฤษ มีความจุที่นั่ง 21,944 ขนาดสนาม 105 x 68 เมตร (114.8 หลา × 74.4 หลา) พื้นผิวสนามใช้ เดสโซ่ กราสมาสเตอร์ เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ 1883 เปิดใช้สนามจริงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ 1883 และ สนามเทิร์ฟมัวร์ ยังเคยถูกใช้ในการแข่งขันสำคัญในการเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน ฟุตบอลลีกนัดแรก (EFL) เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ 1888
เกียรติประวัติของสโมสรฟุตบอล เบิร์นลี่ย์
ฟุตบอลลีก
- ดิวิชั่น 1 (ระดับ 1) ผู้ชนะ : 1920–21 , 1959–60รองชนะเลิศ: 1919–20 , 1961–62
- ดิวิชั่นสอง / แชมเปี้ยนชิพ (ระดับ 2) ผู้ชนะ : 1897–98 , 1972–73 , 2015–16 , 2022–23 เลื่อนชั้น: 1912–13 , 1946–47 , 2013–14 ผู้ชนะ เพลย์ออฟ : 2008–09
- ดิวิชั่นสาม / ดิวิชั่นสอง (ระดับ 3) ผู้ชนะ : 1981–82 เลื่อนชั้น: พ.ศ. 2542–2543 ผู้ชนะ เพลย์ออฟ : 1993–94
- ดิวิชั่น 4 (ระดับ 4) ผู้ชนะ : 1991–9
ฟุตบอลถ้วยคัพ
- เอฟเอ คัพ ผู้ชนะ : 1913–14 รองชนะเลิศ: พ.ศ. 2489–47 , พ.ศ. 2504–62
- เอฟเอ ชาริตี้ ชิลด์ ผู้ชนะ : 1960 , 1973 รองชนะเลิศ: พ.ศ. 2464
- เท็กซาโก คัพ รองชนะเลิศ: 1973–74
- แองโกล-สก็อตติช คัพ ผู้ชนะ : 1978–79
- แอสโซซิเอท เมมเบอร์ส คัพ รองชนะเลิศ: 1987–88
ฟุตบอลภูมิภาค
- แลงคาเชียร์ คัพ ผู้ชนะ : 1889–90, 1914–15, 1949–50, 1951–52, 1959–60, 1960–61, 1961–62, 1964–65, 1965–66, 1969–70, 1971–72, 1992 –93, 2022–23