โปรแกรมพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024-25

WEEK19

29 - 30 ธันวาคม 2024

WEEK18

26 - 28 ธันวาคม 2024

WEEK17

21 - 22 ธันวาคม 2024

WEEK16

14 - 17 ธันวาคม 2024

WEEK15

7 - 10 ธันวาคม 2024

WEEK14

5 - 6 ธันวาคม 2024

WEEK13

30 - 2 ธันวาคม 2024

WEEK12

22 - 25 ธันวาคม 2024

WEEK11

10 - 11 พฤศจิกายน 2024

WEEK10

2 - 5 พฤศจิกายน 2024

WEEK9

26 - 28 ตุลาคม 2024

WEEK8

19 - 22 ตุลาคม 2024

WEEK7

5 - 7 ตุลาคม 2024

WEEK6

28 - 1 ตุลาคม 2024

WEEK5

21 - 23 กันยายน 2024

WEEK4

14 - 16 กันยายน 2024

WEEK3

31 - 2 กันยายน 2024

WEEK2

24 - 26 กรกฎาคม 2024

WEEK1

17 - 20 กรกฎาคม 2024

ประวัติสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล

สโมสรลิเวอร์พูล (Liverpool) เป็นหนึ่งในหลายๆสโมสรที่มีฐานแฟนบอลมากที่สุดในโลก ด้วยรางวัลความสำเร็จ ภาพรวมผลงานการสร้างทีม ความสามารถนักฟุตบอลและผู้จัดการทีม ทำให้เป็นที่สนใจ และกลายเป็นเป็นที่รู้จักและเป็นทีมโปรดของแฟนบอล บทความนี้จะนำเสนอเรื่องราวความเป็นมาของสโมสร ลิเวอร์พูล หนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ผลงานความสำเร็จ และเหตุการณ์สำคัญๆของทีม 

ประวัติสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
  • ยุคเริ่มต้นของสโมสร (1892-1959)

สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล (Liverpool Football Club) ได้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1892 โดยจอห์น โฮลดิง เมื่อเกิดข้อพิพาทระหว่างคณะกรรมการของสโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน (Everton Football Club) และโฮลดิง ซึ่งเป็นประธานสโมสรและเจ้าของสนามแอนฟีลด์ ความขัดแย้งนี้ทำให้เอฟเวอร์ตันต้องย้ายไปสนามใหม่ที่ชื่อกูดิสันพาร์ก (Goodison Park) หลังจากที่เคยใช้แอนฟีลด์เป็นสนามหลักของทีมเป็นเวลา 8 ปี

เริ่มแรก สโมสรที่โฮลดิงก่อตั้งนี้เรียกว่า “สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตันและแอตแลติกกราวด์สจำกัด” (Everton F.C. and Athletic Grounds Ltd) หรือเรียกสั้นๆ ว่า “เอฟเวอร์ตันแอตแลติก” แต่หลังจากที่สมาคมฟุตบอลปฏิเสธที่จะยอมรับสโมสรว่าเป็นเอฟเวอร์ตัน สโมสรนี้จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล” ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1892 และได้รับการยอมรับจากสมาคมฟุตบอลในอีก 3 เดือนต่อมา

ประวัติสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล.
  • ยุคบิลล์ แชงคลีย์ (1959-1974)

บิลล์ แชงคลีย์ รับตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในปี 1959 และมีบทบาทสำคัญในการสร้างสโมสร “ลิเวอร์พูล” ให้เป็นที่รู้จักจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อโลกวงการฟุตบอล ในยุคที่แชงคลีย์ครองตำแหน่ง ลิเวอร์พูลได้รับความสำเร็จอย่างมากทั้งในระดับประเทศและยุโรป ทีมได้ชนะแชมป์ลีกอังกฤษสามครั้ง (1963-64, 1965-66 และ 1972-73), คัพเอฟเอ (FA Cup) ครั้งแรกในปี 1965 และยูฟ่าคัพ (UEFA Cup) ครั้งแรกในปี 1973

นอกจากผลงานในสนามแข่งขันแล้ว แชงคลีย์ยังมีบทบาทในการพัฒนานักเตะเยาวชนและสร้างทีมงานผู้ช่วยที่มีคุณภาพ ซึ่งมีผลต่อความสำเร็จของลิเวอร์พูลในยุคต่อมา เขาเป็นผู้ริเริ่มการสร้าง “Boot Room” ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้จัดการและคณะผู้ช่วยอบรมและวางแผนเกี่ยวกับการเตรียมการแข่งขัน

แชงคลีย์ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการในปี 1974 และสามารถส่งมรดกทีมงานคุณภาพให้แก่ผู้จัดการถัดไป ซึ่งคือ บ็อบ พายส์ลี่ ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการในยุคของแชงคลีย์ พายส์ลี่ นำทีมลิเวอร์พูลไปสู่ความสำเร็จอื่น ๆ ในยุคต่อมา

  • ยุคบ็อบ เพสลีย์ (1974-1983)

บ็อบ พายส์ (Bob Paisley) รับตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในปี 1974 หลังจากที่บิลล์ แชงคลีย์ลาออก พายส์เคยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการในยุคของแชงคลีย์ และได้นำเอาแนวทางการจัดการทีมจากแชงคลีย์มาฝึกฝนและพัฒนาต่อ

ในช่วงเวลาที่พายส์ครองรับตำแหน่ง เขาได้พาลิเวอร์พูลไปสู่ความสำเร็จมากมาย ทั้งในระดับประเทศและยุโรป ลิเวอร์พูลชนะแชมป์ลีกอังกฤษ 3 ครั้ง (1975-76, 1976-77 และ 1978-79) ชนะยูฟ่าคัพ (UEFA Cup) อีกครั้งในปี 1976 และสำคัญที่สุดคือชนะคัพแชมเปียนส์ลีก (Champions League) ครั้งแรกในปี 1977 และครั้งที่สองในปี 1978

นอกจากนั้น พายส์ยังสร้างทีมงานผู้ช่วยที่มีคุณภาพ ซึ่งทำให้ลิเวอร์พูลยังคงมีความสำเร็จในยุคต่อมา พายส์ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการในปี 1983 และสามารถส่งต่อทีมงานคุณภาพให้แก่ผู้จัดการคนถัดไป ซึ่งคือ โจ ฟาแกน (Joe Fagan) ที่เคยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการในยุคของพายส์ ฟาแกนได้นำทีมลิเวอร์พูลไปสู่ความสำเร็จมากมายในยุคต่อมา

  • ยุคโจ ฟาแกน และเคนนี่ ดัลกลิช (1983-1991)

โจ ฟาแกน รับตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในปี 1983 หลังจากที่บ็อบ พายส์ลาออก และเคยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการในยุคของพายส์ ระยะเวลาที่ฟาแกนครองอำนาจ ลิเวอร์พูลได้รับความสำเร็จที่สำคัญทั้งในระดับประเทศและยุโรป

ในช่วงที่เขารับตำแหน่งนี้ ทีมชนะแชมป์ลีกอังกฤษ 3 ครั้ง (1983-84, 1985-86 และ 1987-88) และชนะคัพแชมเปียนส์ลีก (Champions League) ในปี 1984 นอกจากนี้ยังชนะเอฟเอ คัพ (FA Cup) ในปี 1986 ท่ามกลางความสำเร็จของทีม กลับมีเรื่องน่าเศร้าเกิดขึ้นในปี 1985 เมื่อเกิดเหตุการณ์ฮีซเบิร์ก ซึ่งเป็นการเข้าปะทะกันของแฟนบอลลิเวอร์พูลที่พยายามปีนและพังรั้วซึ่งกั้นที่กั้นระหว่างแฟนบอลลิเวอร์พูลและแฟนบอลยูเวนตุส ด้วยน้ำหนักตัวที่มากทำมให้กำแพงพังลงมา นำไปสู่การตายของแฟนบอล 39 คน และจากเหตุการณ์นั้นทำให้ทีมจากอังกฤษถูกแบนจากการแข่งขันในยุโรปสำหรับปี 5 ปี

ฟาแกน ลาออกในปี 1985 และทำให้เคนนี่ ดัลกลิช (Kenny  Dalglish) ซึ่งเป็นผู้เล่นดาวเด่นของลิเวอร์พูลในเวลานั้น รับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทน ในช่วงที่ดัลกลิชดูแล ทีมชนะแชมป์ลีกอังกฤษสองครั้ง (1987-88 และ 1989-90) และเอฟเอ คัพ (FA Cup) ในปี 1989 แต่เหตุการณ์ฮิลส์โบโร ในปี 1989 ที่นำไปสู่การเสียชีวิตของแฟนบอลลิเวอร์พูล 96 คน เป็นความทุกข์ใจที่ยากที่จะลืมสำหรับดัลกลิช และทำให้เขาตัดสินใจลาออกในปี 1991

  • ทศวรรษที่ 1990 และต้นทศวรรษที่ 2000

ทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษที่ 2000 สำหรับสโมสรลิเวอร์พูลถือว่าเป็นช่วงที่ท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขา การสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของสโมสรหลังจากความสำเร็จในทศวรรษ 1970 และ 1980 มีความยากลำบาก

    • ช่วงทศวรรษ 1990

      ทศวรรษ 1990 คือช่วงที่ลิเวอร์พูลต้องพบกับความท้าทายหลายอย่างถึงแม้ว่าลิเวอร์พูลจะกลับมาคว้าแชมป์ FA Cup ในปี 1992 ภายใต้การจัดการของ แกรม ซูเนส (Graeme Souness) อดีตผู้เล่นลิเวอร์พูลก็ตาม แต่ผลงานในลีกนั้นไม่ค่อยดีนัก เหตุผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของผู้จัดการทีมก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา พวกเขาจบอันดับที่ 6 สองฤดูกาลติดต่อกัน 

      แกรม ซูเนส ลาออกในปี 1994 และเป็นทาง รอย อีแวนส์ (Roy Evans) เข้ารับตำแหน่งแทน เจ้าตัวยังได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากแฟน ๆ เขาลิเวอร์พูลชนะเลิศฟุตบอลลีกคัพใน ค.ศ. 1995 และจบอันดับที่ 3 ในลีกซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดที่พวกเขาทำได้

    • ช่วงต้นทศวรรษ 2000
      เฌราร์ อูลีเย (Gerard Houllier) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมในปี 1998 และได้นำทีมลิเวอร์พูลไปสู่ชัยชนะ “Treble” ในปี 2001 ที่ประกอบด้วย League Cup, FA Cup และ UEFA Cup ทั้งนี้ยังรวมถึงชัยชนะใน UEFA Super Cup และ FA Community Shield อีกด้วย ส่งผลให้ชื่อเสียงของลิเวอร์พูลกลับมาอยู่ในเวทีระดับยุโรปอีกครั้ง

      อย่างไรก็ตาม ยุคของ เฌราร์ อูลีเย ก็มีความท้าทายเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมีผู้เล่นที่มีคุณภาพดีเช่น สตีเว่น เจอร์ราร์ด (Steven Gerrard), ไมเคิล โอเว่น (Michael Owen) และ ซามี่ ฮูเปีย (Sami Hyypia) แต่ลิเวอร์พูลก็ยังไม่สามารถชิงแชมป์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ อูลีเย ลาออกในปี 2004

สโมสรลิเวอร์พูล-กับโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร
  • ยุคราฟาเอล เบนิเตซ (2004-2010)

ราฟาเอล เบนิเตซ (Rafael Benitez) เข้ารับตำแหน่งแทนอูลีเยหลังจบฤดูกาล 2003–04 ถึงแม้ว่าฤดูกาลแรกของเบนิเตซนั้นจะพาทีมจบอันดับที่ 5 ในลีก แต่เขาสามารถนำทีมลิเวอร์พูลเอาชนะเอซี มิลานในการดวลลูกโทษด้วยผลประตู 3–2 หลังจากเสมอกันด้วยผลประตู 3–3 คว้าแชมป์ UEFA Champions League ในฤดูกาลแรกของเขา การชนะเลิศในการแข่งขันครั้งนี้ ถือว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ฟุตบอลครั้งสำคัญของลิเวอร์พูล ที่เรียกว่า “คืนวันที่ไม่มีเหตุผลในอิสตันบูล” โดยลิเวอร์พูล สามารถมคัมแบ็คกลับมาหลังจากเสียประตูไปก่อน 3-0 ในครึ่งแรกและสามารถเอาชนะเอซี มิลาน ด้วยการยิงจุดโทษ

เบนิเตซก็ยังพาลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ FA Cup ในปี 2006 และคว้าแชมป์ UEFA Super Cup อีกครั้งในปี 2005 แต่ก็ยังไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ ในช่วงหลังของการควบคุมทีมของเบนิเตซ ลิเวอร์พูลพบกับปัญหาในสโมสรและการสนับสนุนทางการเงิน แม้ว่าในฤดูกาล 2008-2009 ลิเวอร์พูลจะเข้าใกล้แชมป์ลีกมากที่สุดโดยมีคะแนน 86 คะแนน เป็นสถิติของสโมสรที่ทำคะแนนเยอะที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีกในเวลานั้น แต่สุดท้ายก็จบอันดับที่ 2 ตามหลังแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่คว้าแชมป์ในฤดูกาลนั้น ในฤดูกาล 2009-10 เขาพาทีมจบอันดับที่ 7 ทำให้พลาดไปเล่นรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก  ส่งผลให้เขาตัดสินใจลาออกจากทีม 

สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล-ราฟาเอล-เบนิเตซ-(Rafael-Benitez)
  • ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง (2011-2014)

หลังจาก ราฟาเอล เบนิเตซ ตัดสินใจลาออกจากลิเวอร์พูลด้วยการยินยอมทั้งสองฝ่ายเป็นทาง รอย ฮอดจ์สัน (Roy Hodgson) เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลแทน ช่วงต้นฤดูกาล 2010-11 ลิเวอร์พูลตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและเสี่ยงต่อการล้มละลาย เพราะเจ้าหนี้ของสโมสรได้ขอให้ศาลสูงสั่งอนุญาตให้มีการขายสโมสร พร้อมปฏิเสธคำขอของฮิกส์และยิลเลตต์ เวลาต่อมา จอห์น ดับเบิลยู. เฮนรี (John W. Henry) ได้ชนะการประมูล คว้าสิทธิ์เป็นเจ้าของสโมสรลิเวอร์พูลสำเร็จในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2010

แต่สถานการณ์ยังไม่ราบรื่นด้วยผลการแข่งขันที่ไม่ดีในช่วงต้นฤดูกาล ส่งผลให้ รอย ฮอดจ์สัน  ผู้จัดการทีมในขณะนั้น ต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งด้วยความยินยอมร่วมกันทั้งสองฝ่าย ระหว่างเวลานั้น สโมสรได้แต่งตั้ง เคนนี แดลกลีช (Kenny  Dalglish)  ซึ่งเป็นอดีตสตาร์ขึ้นรับตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลอีกครั้ง ระหว่างที่รับตำแหน่ง ฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูลชนะลีพคัพ (สมัยที่ 8) และผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ แต่ผลงานในลีกจบอันดับที่ 8 ซึ่งเป็นอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 18 ปีของทีม ส่งผลให้ เคนนี แดลกลีช ถูกไล่ออก

ต่อมาเป็นทาง เบรนดัน ร็อดเจอส์ (Brendan Rodgers) เข้ารับตำแหน่งแทน ในฤดูกาล 2013-14 เขาพาลิเวอร์พูลจบอันดับที่ 2 ของตารางคะแนน ตามหลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ (Manchester City) คว้าตั๋วไปเล่นในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกครั้ง แต่ผลงานที่น่าผิดหวังในช่วงฤดูกาล 2014-15 และช่วงต้นฤดูกาล 2015-16 เป็นผลทำให้เขาถูกไล่ออกจากทีม 

ประวัติสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล-(Liverpool-Football-Club)
  • ยุคของเจอร์เก้น คล็อปป์ (2015-ปัจจุบัน)

หลังจาก ร็อดเจอส์ ถูกไล่ออกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015  เจอร์เก้น คล็อปป์ (Jurgen Klopp) ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน เข้ารับตำแหน่งแทน ด้วยสัญญา 3 ปี ในฤดูกาลแรก เจอร์เก้น คล็อปป์พาลิเวอร์พูลเข้าชิงชนะเลิศรายการลีกคัพและยูโรป้าลีก แต่จบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ทั้ง 2 รายการ ฤดูกาล 2018-19 สามารถพาทีมจบอันดับที่ 2 ของตารางพรีเมียร์ลีก ด้วยคะแนน 97 แต้ม  เจอร์เก้น คล็อปป์ พาทีมเข้าชิงชนะเลิศรายการ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาล 2018-19 และคว้าแชมป์ในฤดูกาล 2019-20 โดยการเอาชนะทอตนัมฮอตสเปอร์ด้วยสกอร์ 2–0  ต่อมาลิเวอร์พูลเอาชนะฟลาเม็งกู สโมสรจากบราซิลในนัดชิงชนะเลิศของฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ปี 2019 ด้วยผลประตู 1–0 ทำให้ลิเวอร์พูลชนะเลิศรายการนี้เป็นครั้งแรกของสโมสร  ลิเวอร์พูลกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง ในฤดูกาล 2019–20 เป็นการชนะเลิศลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี 

ประวัติสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล-ยุคของเจอร์เก้น-คล็อปป์
  • ยุคของเจอร์เก้น คล็อปป์ (2015-ปัจจุบัน)

หลังจาก ร็อดเจอส์ ถูกไล่ออกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015  เจอร์เก้น คล็อปป์ (Jurgen Klopp) ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน เข้ารับตำแหน่งแทน ด้วยสัญญา 3 ปี ในฤดูกาลแรก เจอร์เก้น คล็อปป์พาลิเวอร์พูลเข้าชิงชนะเลิศรายการลีกคัพและยูโรป้าลีก แต่จบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ทั้ง 2 รายการ ฤดูกาล 2018-19 สามารถพาทีมจบอันดับที่ 2 ของตารางพรีเมียร์ลีก ด้วยคะแนน 97 แต้ม  เจอร์เก้น คล็อปป์ พาทีมเข้าชิงชนะเลิศรายการ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาล 2018-19 และคว้าแชมป์ในฤดูกาล 2019-20 โดยการเอาชนะทอตนัมฮอตสเปอร์ด้วยสกอร์ 2–0  ต่อมาลิเวอร์พูลเอาชนะฟลาเม็งกู สโมสรจากบราซิลในนัดชิงชนะเลิศของฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ปี 2019 ด้วยผลประตู 1–0 ทำให้ลิเวอร์พูลชนะเลิศรายการนี้เป็นครั้งแรกของสโมสร  ลิเวอร์พูลกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง ในฤดูกาล 2019–20 เป็นการชนะเลิศลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี 

ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในรอบ-30-ปี

ฤดูกาล 2020-21 ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์รายการเอฟเอคัพและอีเอฟแอลคัพ (คาราบาวคัพ) ผลงานในลีกจบอันดับที่ 3 ของตารางพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2021-22 เจอร์เก้น คล็อปป์ เกือบพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งหลังมีคะแนนตามหลัง ทีมแชมป์เพียง 1 คะแนนเท่านั้น ฤดูกาล 2022-23 ทีมลิเวอร์พูลต้องเจอกับปัญหาผู้เล่นตัวหลักได้รับบาดเจ็บระหว่างการแข่งขันเป็นจำนวนมาก เป็นส่วนหนึ่งในปัญหาที่ทำให้ลิเวอร์พูลทำได้เพียงจบอันดับที่ 5 ของตารางพรีเมียร์ลีก กลับลงไปเล่นในรายการยูโรป้าลีกในรอบหลายปี ต้องติดตามกันว่าฤดูกาล 2023-24 ที่จะเริ่มขึ้นในคืนวันเสาร์ที่ 12 สิงหาคมนี้ และตลอดทั้งฤดูกาล เจอร์เก้น คล็อปป์ จะพาทีมลิเวอร์พูลกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งหรือไม่?

อ้างอิงข้อมูล : https://en.wikipedia.org/wiki/Liverpool_F.C.