เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค
Virgil van Dijk
- สัญชาติ : เนเธอร์แลนด์
- วันเกิด : 08/07/1991
- ความสูง : 195 cm
- สโมสรฟุตบอล : ลิเวอร์พูล
- เบอร์เสื้อ : 4
- ตำแหน่ง : กองหลัง
ช่องทางติดตาม :
สถิติ ผลงานในพรีเมียร์ลีก
- การลงลงเล่น : 228
- ทำประตู : 20
- แอสซิสต์ : 5
- ครีมชีส : 93
เกียรติประวัติและรางวัล
- รางวัลผู้เล่นแห่งฤดูกาล : 1 รางวัล
- ฤดูกาล 2018/19
- แชมป์พรีเมียร์ลีก : 1 สมัย
- ฤดูกาล 2019/20
- ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือน : 1 รางวัล
- ธันวาคม ปี 2018
ประวัติ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค (Virgil van Dijk)
ประวัติ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค (Virgil van Dijk) เกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฏาคม ปี 1991 เป็นนักฟุตบอลชาวเนเธอร์แลนด์ ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองหลัง ให้กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พลู สโมสรในพรีเมียร์ลีก ลีกฟุตบอลชื่อดังของเกาะอังกฤษ และเป็นกับตันทีมชาติเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบัน (ติดตาม : พรีเมียร์ลีก)
จุดเริ่มต้นและเส้นทางของ ฟาน ไดจ์ค ในวงการฟุตบอลอาชีพ
โครนิงเก้น
ฟาน ไดจ์ค เริ่มเข้าสู่วงการฟุตบอลอาชีพ โดยเริ่มต้นจากการค้าแข้งให้กับ โกงนิงเก้น และได้ลงเล่นเป็นครั้งแรกในฐานะตัวสำรอง วันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 ในเกมพบกับ เอดีโอ เดน ฮาก โดยการเปลี่ยนตัวลงมาแทน เพตเตอร์ แอนเดอร์สสัน ในนาทีที่ 72 จบเกมผลปรากฎว่าทีมเป็นฝ่ายชนะด้วยสกอร์ 4-2 ต่อมาในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 ได้ลงสตาร์ทเป็นตัวจริง และพบกับทีมที่เจอในนัดแรกที่เขาลงเล่น และได้ทำประตูแรกให้กับตัวเองในเส้นทางฟุตบอลอาชีพของเขา และได้ทำถึง 2 ประตูในเกมเดียวกัน จบเกมทีมเป็นฝ่ายชนะด้วยสกอร์ 5-1 ในการแข่งขัน ยูฟ่ายูโรปาลีกในรอบเพลย์ออฟ
- เซลติก
ในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 2013 ฟาน ไดจ์ค ได้บรรลุข้อตกลงทำสัญญา 4 ปี เพื่อไปเล่นให้กับสโมสรเซลติก ด้วยค้าตัว 2.6 ล้านปอนด์ และได้ลงเล่นนัดแรกให้กับทีม ในวันที่ 17 สิงหาคม ด้วยการเปลี่ยนตัวลงไปแทนเอเฟ แอมโบรส ในช่วง 13 นาทีสุดท้ายในเกมพบกับแอเบอร์ดีน
- เซาแทมป์ตัน
ฟาน ไดจ์ค ให้กับเซลติกได้เพียง 3 ปี ก็ได้ตัดสินใจย้ายออกจากทีม ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2015 มาเล่นให้กับสโมสรเซาแทมป์ตัน ด้วยค้าตัว 13 ล้านปอนด์ ในสัญญญา 5 ปี และได้ลงเล่นให้กับทีมนัดแรก วันที่ 12 กันยายน ในนัดที่ไปเยือนเวสต์บรอมวิชอัลเบียน จบเกมเสมอกันผลสกอร์ 0-0
- ลิเวอร์พูล
ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2015 ได้ย้ายร่วมทัพ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล สโมสรในพรีเมียร์ลีก ลีกฟุตบอลชื่อดังในเกาะอังกฤษ ด้วยค้าตัว 75 ล้านปอนด์ กลายเป็นสถิติค่าตัวกองหลังที่สูงที่สุดในโลกในตำแหน่งกองหลัง และได้ลงเล่นนัดแรกให้กับทีมในวันที่ ในวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 2018 ในเกมเอฟเอคัพ รอบสาม โดยการลงสตาร์ทเป็นตัวจริงและทำประตูแรกได้ ในเกมลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ด้วยสกอร์ 2-1 ช่วยให้ทีมผ่านเข้ารรอบ 4 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ ปัจจุบัน เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ยังเป็นกำลังหลักให้กับสโมสรลิเวอร์พูลจนถึงปัจจุบัน
เส้นทางการลงเล่นในนามทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ของ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค
เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค เป็นนักฟุตบอลที่มีบทบาทสำคัญในการนำทีมชาติเนเธอร์แลนด์สู่ความสำเร็จ การเดินทางของเขาเริ่มจากรุ่นเยาวชน ซึ่งเขาได้ลงสนามเป็นครั้งแรกในรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปีในปี 2011 ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้ย้ายขึ้นมาเล่นในรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ระหว่างปี 2011-2013
ในช่วงปี 2015 ที่เขาได้ค้าแข้งให้กับเซาแฮมป์ตัน เขาได้รับโอกาสถูกเรียกเข้ามาเล่นในทีมชาติเนเธอร์แลนด์ชุดใหญ่เป็นครั้งแรก เขาได้ลงสนามเป็นครั้งแรกในวันที่ 10 ตุลาคม 2015 ในเกมที่ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ได้เอาชนะคาซัคสถาน 2-1 ในรอบคัดเลือกยูโร
จนถึงปัจจุบัน เขาได้ลงสนามให้ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ชุดใหญ่ทั้งหมด 55 นัด และยิงประตูได้ 6 ครั้ง พร้อมทั้งช่วยนำทีมชาติเนเธอร์แลนด์ผ่านเข้ารอบสุดท้ายของยูโร 2020 นี่เป็นความสำเร็จที่สำคัญหลังจากที่ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ไม่สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์ระดับใหญ่ใน 2 รายการยอดนิยม ได้แก่ ยูโร 2016 และฟุตบอลโลก 2018
เส้นทางความสำเร็จและเหตุการณ์สำคัญของ ฟาน ไดจ์ค ในวงการฟุตบอลอาชีพ
- ฤดูกาล 2017-18
- วันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 2018 ทำประตูแรกในสีเสื้อของลิเวอร์พูล
- ช่วยลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบ 4 ทีมเอฟเอคัพ
- ฤดูกาล 2018-19
- วันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ฟัน ไดก์ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018–19
- ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนธันวาคมของพรีเมียร์ลีก
- ช่วยให้ลิเวอร์พูล เอาชนะ โปร์ตู 6-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ
- คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ ประจำฤดูกาล 2018-19
- ติดทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ
- พาลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 6 ได้สำเร็จ
- คว้ารางวัล Man of the Match ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
- ฤดูกาล 2019-20
- พาลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ สมัยที่ 4 ได้สำเร็จ
- พาลิเวอร์พูล เอาชนะ ฟลาเม็งกู 1-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก สมัยแรกได้สำเร็จ
- ช่วยให้ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปีได้สำเร็จ
- ติดทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ
- ฤดูกาล 2020-21
- ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020–21
- รับบาดเจ็บหนักที่เส้นเอ็นไขว้หน้าหัวเข่า ต้องเข้ารับการผ่าตัดและพักยาวตลอดทั้งฤดูกาล
- ฤดูกาล 2021-22
- ตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูลถึงปี 2025
- วันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 2021 ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2021–22
- พาลิเวอร์พูล คว้าแชมป์เอฟเอคัพ สมัยที่ 8 ได้สำเร็จ
- ฤดูกาล 2022-23
- พาลิเวอร์พูล คว้าแชมป์คอมมิวนิตีชีลด์ สมัยที่ 16 ได้สำเร็จ
เกียรติประวัติและรางวัลในเส้นทางฟุตบอลอาชีพ
กลาสโกว์ เซลติก :
- แชมป์ สกอตติช พรีเมียร์ชิพ 2 สมัย : 2013-2014 , 2014-2015
- แชมป์ สกอตติช ลีก คัพ 1 สมัย : 2014-2015
ลิเวอร์พูล :
- แชมป์ พรีเมียร์ลีก 1 สมัย : 2019-2020
- แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย : 2018-2019
- แชมป์สโมสรโลก 1 สมัย : 2019
- แชมป์ ยูฟ่า ซูปเปอร์คัพ 1 สมัย : 2019
- แชมป์ เอฟเอคัพ 1 สมัย : 2021-22
- แชมป์ อีเอฟแอล คัพ 1 สมัย : 2021-22
- แชมป์ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 1 สมัย : 2019
รางวัลส่วนตัว :
- ติดทีมยอดเยี่ยม สกอตติช พรีเมียร์ชิพ : 2013-2014 , 2014-2015
- นักเตะยอดเยี่ยม PFA : 2018-2019
- นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี ของยูฟ่า : 2018-2019
- กองหลังยอดเยี่ยม ของยูฟ่า : 2018-2019
- ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA : พรีเมียร์ลีก 2018-2019, พรีเมียร์ลีก 2019-2020, พรีเมียร์ลีก 2021-2022
- PFA Player of the month : พฤศจิกายน 2018
- นักเตะยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกแห่งฤดูกาล : 2018-19
- นักแตะยอมเยี่ยมพรีเมียร์ลีกประจำเดือน : ธันวาคม 2018
- อลัน ฮาร์ดาเกอร์ โทรฟี่ : 2022
- ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปี UEFA : 2018, 2019, 2020
- ติดทีมยอดเยี่ยม แห่งฤดูกาล ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2017–18, 2018–19 , 2019–20
- นักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาล เซาแธมป์ตัน : 2015–16
- รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของแฟนบอลลิเวอร์พูล : 2018–19
ปัจจุบัน ฟาน ไดจ์ค เป็นผู้เล่นคนสำคัญของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ทีมในลีกฟุตบอลสูงสุดของอังกฤษ โดยทำหน้าที่เป็นปราการหลังหลักของทีมในการไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกต่อไป นอกจากความสำเร็จของทีมแล้ว ฟาน ไดจ์คยังสร้างสถิติส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง ปูทางสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ประสบความสำเร็จ ก้าวไปสู่จุดสูงสุดของวงการนักฟุตบอล